แสดงความยินยอมการใช้คุกกี้

เว็บไซต์ของเรามีการใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเว็บที่ดียิ่งขึ้นต่อผู้ใช้ ก่อนใช้งานเว็บไซต์ของเราต่อไป คุณตกลงและยอมรับเว็บไซต์ของเรา นโยบายการใช้คุกกี้

ความรู้สุขภาพ – Page 3 – โรงพยาบาลราชวิถี

Category Archives: ความรู้สุขภาพ

  • -

รพ.ราชวิถี ชวนรู้จักโรค SLE หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง

โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เผย โรค SLE เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะทั่วร่างกาย และอวัยวะที่เกิดการอักเสบจะได้รับความเสียหาย โดยผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีการอักเสบในแต่ละอวัยวะแตกต่างและมีอาการ แสดงแตกต่างกัน แต่มักเกิดการอักเสบของหลายอวัยวะร่วมกัน แนะผู้ป่วยหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์

489969

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรค SLE ย่อมาจาก Systemic Lupus Erythematosus เป็นโรคภูมิคุ้มกันทําลายตนเองหรือโรคแพ้ภูมิตนเอง นับเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย และมีอัตราการเสียชีวิตตํ่า โดยพบเพียงร้อยละ 0.1 (0.014 – 0.122) หรือคิดเป็นจํานวนผู้ป่วยในประเทศไทยราว 50,000 – 700,000 คน ส่วนใหญ่มักพบในเพศหญิงช่วงอายุราว 20 – 40 ปี ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม แสงแดด การติดเชื้อไวรัส การติดเชื้อแบคทีเรีย การได้วัคซีน การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด

2-%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b2-%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%98%e0%b8%b4

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวต่อว่า อาการที่พบได้บ่อยของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้ตํ่า ปวดข้อ ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นํ้าหนักลด ผมร่วง มีผื่นที่หน้า ที่แก้ม คล้ายปีกผีเสื้อ ผื่นตามตัว แขน ขา ผื่นแพ้แสง แผลในปาก บวม ซีด มีจํ้าเลือดหรือจุดแดงคล้ายยุงกัดตามแขนขา โดยมักมีอาการมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือหลายสัปดาห์ สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรค แพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการดังกล่าวของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือดเพื่อหาอวัยวะที่มีการอักเสบ การตรวจปัสสาวะ และการตรวจทางภูมิคุ้มกัน (ANA , anti-dsDNA , anti Sm) โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยจากสมาคมแพทย์โรคข้อของสหรัฐอเมริกาและยุโรป

นายแพทย์สูงชัย อังธารารักษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้างานโรคข้อและภูมิแพ้ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรค SLE จะต้องทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โดยการใช้ยา ประกอบด้วย ยาต้านมาลาเรีย ร่วมกับยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิอื่นๆ ซึ่งขนาดและวิธีการให้ยาจะขึ้นกับความรุนแรงของโรค รวมทั้ง ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเอง ได้แก่ การดูแลความสะอาด รับประทานอาหารที่สะอาด ระวังการติดเชื้อโรค รับประทานยาให้ตรง และห้ามหยุดยาเอง หลีกเลี่ยงยาสมุนไพรหรือยาชุด อาหารเสริมนอกระบบ หลีกเลี่ยงแสงแดด ลดหรือหลีกเลี่ยงความเครียด การคุมกําเนิด หากจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแล

สำหรับผู้ป่วยโรค SLE ที่มีอาการปวดท้อง อาจเกิดจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล ลําไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ เหมือนบุคคลทั่วไป แต่โรค SLE เองอาจมีการอักเสบของอวัยวะในช่องท้องหรือในระบบทางเดินอาหารจากโรค SLE เองได้ ทั้งนี้ การอักเสบของอวัยวะในช่องท้องหรือในระบบทางเดินอาหารจากโรค SLE เป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างน้อย แต่มีความรีบด่วน ในการวินิจฉัยและการรักษา ประกอบด้วย เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หลอดเลือดแดงในระบบทางเดินอาหารและลำไส้อักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยจะมาด้วยอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน อาจจะมีอาการถ่ายเหลว อาการปวดท้องมักเป็นค่อนข้างรุนแรงและมักจะมีอาการเป็นวันหรือหลายวัน การตรวจท้องจะพบท้องอืด กดเจ็บทั่วท้อง ลำไส้ทำงานลดลง การวินิจฉัยจะอาศัยการตรวจเลือดประเมินการอักเสบ ประเมินค่าตับ ค่าการทำงานของไต ประเมินแร่ธาตุในเลือด และตรวจหาค่าเอนไซน์ amylase หรือ lipase เพื่อประเมินภาวะตับอ่อนอักสบ การส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ทางช่องท้องจะช่วยในการวินิจฉัย ตับอ่อนอักเสบซึ่งจะพบตับอ่อนบวมโต และหลอดเลือดลำไส้อักเสบซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะคือพบลำไส้บวมหนา มีลักษณะคล้ายโดนัท

การรักษา ประกอบด้วย การให้สารน้ำทางหลอดเลือด และการให้ยาสเตียรอด์ขนาดสูง สำหรับภาวะหลอดเลือดลำไส้อักเสบ
ถ้าให้การรักษาล่าช้าอาจทำให้ลำไส้เน่าตายและเสียชีวิตได้ นอกจากภาวะหลอดเลือดแดงอักเสบแล้ว พบว่าลำไส้เน่าตาย อาจเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงอุดตันจากลิ่มเลือด เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันกระตุ้นให้เลือดแข็งตัวง่ายกว่าปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่า ผู้ป่วยมักไม่มีอาการอักเสบในระบบอื่น การวินิจฉัยโดยใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการฉีดสีจะพบจุดอุดตัน การรักษาจะใช้ยาละลายลิ่มเลือด อาการอื่นๆ ที่พบได้น้อยมากคือมีภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบและมีการปริแตกที่ผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องค่อนข้างรุนแรง และถ้ามีผนังหลอดเลือดแดงแตกมักเสียชีวิตค่อนข้างรวดเร็ว การวินิจฉัยค่อนข้างยากและการรักษาต้องอาศัยการผ่าตัดซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนร่วมกับการให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูง

**************************************

#กรมการแพทย์ #โรงพยาบาลราชวิถี #โรคSLE #โรคแพ้ภูมิตนเอง

– ขอขอบคุณ –

4 กรกฎาคม 2566

**************************************

รพ.ราชวิถี ชวนรู้จักโรค SLE หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง อ่านต่อที่ https://shorturl.asia/BVy09

sle-info

Please follow and like us:

  • -

ท้องผูกเรื้อรัง เสี่ยงลำไส้พัง แต่สามารถป้องกันได้

โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ชี้ ระบบขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตประจำวัน การดูแลระบบขับถ่ายให้ดีจึงเป็นส่วนที่ช่วยให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจแข็งแรง เกิดความสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่วนมากภาวะท้องผูกมักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและเป็นได้ในทุกช่วงอายุ โดยส่วนใหญ่พบได้ในวัยทำงาน

473834

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ท้องผูก คือ ภาวะการถ่ายอุจจาระยาก หรือห่างผิดปกติ ร่วมกับ อุจจาระที่มีลักษณะแข็งหรือแห้งผิดปกติด้วยเช่นกัน ส่วนท้องผูกเรื้อรัง หมายถึง ภาวะท้องผูกที่เป็นต่อเนื่องกันนานเกิน 3 เดือน ภาวะท้องผูกเป็นภาวะที่พบบ่อยทั่วโลก ในประเทศไทยพบได้ถึงร้อยละ 25 โดยพบได้ในกลุ่มช่วงอายุ 20 – 40 ปีบ่อยที่สุดถึงร้อยละ 57 เพศหญิงพบได้บ่อยกว่าเพศชาย นอกจากนี้ยังพบบ่อยในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ ขาดอาหารที่มีกากใยสูง ผู้ที่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย และที่สำคัญคือผู้ที่มีภาวะเครียดทางอารมณ์

2-%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b2-%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%98%e0%b8%b4

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวต่อว่า สาเหตุของภาวะท้องผูก แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มแรก “ท้องผูกปฐมภูมิ” คือ ท้องผูกที่เกิดจากการบีบและคลายตัวผิดปกติของลำไส้เอง ตัวอย่างเช่น ภาวะลำไส้แปรปรวน ภาวะลำไส้เฉื่อย หรือ การเบ่งถ่ายอุจจาระผิดวิธี กลุ่มที่สอง “ท้องผูกทุติยภูมิ” คือ ภาวะท้องผูกที่มีสาเหตุจากความผิดปกติเชิงโครงสร้างของลำไส้ หรือ โรคระบบอื่นๆ ส่งผลให้เกิดภาวะท้องผูก  ตัวอย่าง เช่น มะเร็งลำไส้, โรคทางสมอง, โรคทางต่อมไร้ท่อ (เบาหวาน ไทยรอยด์) หรือท้องผูกจากยา แต่ทั้งนี้ ภาวะท้องผูกเรื้อรังส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มปฐมภูมิ

นายแพทย์กิตติ ชื่นยง นายแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะท้องผูกส่วนใหญ่ที่เกิดจากกลุ่มปฐมภูมิ เช่น ลำไส้แปรปรวน ลำไส้เฉื่อย หรือการเบ่งถ่ายผิดวิธีนั้นเป็นกลุ่มที่ปลอดภัย แต่หากเป็นกลุ่มที่มีสาเหตุจากโรค หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ทันเวลา อาจส่งผลให้เกิดอันตรายได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เป็นต้น ภาวะท้องผูกเรื้อรังที่ไม่มีโรคอันตรายแอบแฝง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของร่างกายและจิตใจได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรป้องกันและรักษาภาวะท้องผูกให้หายเป็นปกติ หรืออย่างน้อยต้องให้มีอาการน้อยที่สุด สำหรับการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการท้องผูกในกรณีที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่วมกับมีอาการน้อย ไม่มีอาการสัญญาณเตือน อาจปรับเปลี่ยนสุขนิสัย ได้แก่ 1.การดื่มน้ำให้มากพอ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน ภาวะขาดน้ำจะทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง ยิ่งทำให้การถ่ายอุจจาระยาก 2.การรับประทานอาหารเส้นใยสูง คือ ผัก ผลไม้ ทั้งนี้เส้นใยจากอาหาร นอกจากจะเป็นโครงให้อุจจาระมีความฟู ถ่ายง่ายแล้ว เส้นใยจากอาหารยังเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ลดการรับประทานเนื้อสัตว์และแป้ง เพราะจะส่งผลให้ท้องผูกเป็นมากขึ้น 3.ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายด้วยการเดินหรือวิ่งเหยาะๆ ช่วยสนับสนุนให้มีการบีบตัวของลำไส้ 4.การทำกิจกรรมเพื่อคลายเครียด ทั้งนี้ หากมีภาวะท้องผูกในกรณีต่อไปนี้ ได้แก่ 1.มีถ่ายอุจจาระปนเลือด 2.ผอมลงมาก 3.คลำได้ก้อนที่ท้อง 4.ปวดท้องรุนแรง 5.อ่อนเพลีย 6.ท้องอืดรุนแรง 7.ปัญหาเริ่มต้นหลังวัย 50 และ 8.อาการเป็นมากขึ้นหลังจากการรักษาแบบปรับเปลี่ยนสุขนิสัยแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป

**************************************

#กรมการแพทย์ #โรงพยาบาลราชวิถี #ท้องผูกเรื้อรั้ง

– ขอขอบคุณ –
30 มิถุนายน 2566

infographic-%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%87

%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%87

Please follow and like us:

  • -

แพทย์เตือนโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก อันตรายพิการถึงเสียชีวิต พร้อมเปิดศูนย์การรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด โรงพยาบาลราชวิถี รักษาโรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดส่วนปลาย โดยการใส่สายสวนหลอดเลือด

โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เตือนโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง ภัยเงียบ กว่าจะรู้ตัวอีกที อาจทำให้ผู้ป่วยพิการและเสียชีวิตได้ทันที
361810
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดี กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรมีอายุขัยเพิ่มขึ้น ร่วมกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้พบอุบัติการณ์โรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 1ในโรคหลอดเลือดสมองที่อัตราความพิการและเสียชีวิตสูงสุด คือโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตโดยประมาณ ร้อยละ 20 – 30
361755
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวว่า อาการของโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก มีตั้งแต่ ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นภาพซ้อน ปากเบี้ยว พูดลำบาก แขนขาอ่อนแรง ซึมสับสน โคม่า โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่เป็นประจำ ภาวะอ้วน เป็นต้น ส่วนใหญ่ต้องได้รับการรักษาที่ค่อนข้างเร่งด่วนฉุกเฉิน ในอดีตการรักษาส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัดเปิดเพื่อหนีบหลอดเลือดที่โป่งพอง แต่ในบางตำแหน่งของหลอดเลือด การรักษาด้วยการผ่าตัดมีข้อจำกัดหรือมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดค่อนข้างสูง ยุ่งยากซับซ้อน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น การรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดและใช้ขดลวดอุดหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง ซึ่งมีบาดแผลเล็ก ฟื้นตัวไว เข้าถึงจุดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย จึงเป็นทางเลือกในการรักษาในปัจจุบัน หรืออาจใช้ร่วมกับการรักษาด้วยการผ่าตัด
361812
นายแพทย์สุจินต์ รุจิเมธาภาส นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ งานประสาทศัลยศาสตร์ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี เพิ่มเติมว่า ศูนย์การรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดโรงพยาบาลราชวิถี เป็นศูนย์ที่ให้การรักษาโรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดส่วนปลาย โดยการใส่สายสวนหลอดเลือด เพื่อมุ่งหวังให้เกิดผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น ลดความพิการและเสียชีวิต ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การป้องกัน เลิกสูบบุหรี่ รักษาโรคประจำตัว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และ เมื่อมีอาการ เช่นปวดศีรษะรุนแรง ควรรีบมาพบแพทย์โดยด่วน
 
#โรงพยาบาลราชวิถี #กรมการแพทย์ #ศูนย์การรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด
5 เมษายน 2566
%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%8a%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%b9-%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%aa
359736
Please follow and like us:

  • -

รพ.ราชวิถี แนะวิธีแยกกักตัวอย่างไร ? เมื่อต้องอาศัยในบ้านเดียวกันกับผู้ป่วยโควิด-19 โดยไม่มีห้องแยก

โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโควิด-19 ในการทำ Home Isolation กรณีที่ไม่มีห้องแยกให้กักตัวในบ้าน แต่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัวอย่างไรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โควิด-19

1319180

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน โควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ทำให้มีผู้ติดเชื้อสูงมากกว่าหมื่นรายต่อวัน แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ โดยอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยในของโรงพยาบาล สำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์ในการทำ Home Isolation ได้แก่ ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่แสดงอาการ , มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อาจมีโรคร่วมที่รักษา และสามารถควบคุมได้ตามดุลยพินิจของแพทย์ , มีอายุน้อยกว่า 75 ปี และยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง ทั้งนี้ แนวทางการดูแลผู้ป่วยโควิดที่ทำ Home Isolation อาจปรับได้ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยและด้านการควบคุมโรคประกอบกัน

%e0%b8%9c%e0%b8%ad%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b2_%e0%b9%92%e0%b9%91%e0%b9%91%e0%b9%90%e0%b9%90%e0%b9%91_6

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ป่วยโควิด-19 จะได้รับการสนับสนุนเมื่อทำ Home Isolation ได้แก่ อุปกรณ์ประเมินอาการ เช่น ปรอทวัดไข้ และเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว เพื่อประเมินการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดว่าปกติดีหรือไม่ โดยค่าปกติจะอยู่ที่ประมาณ 96-100% ถ้าตัวเลขอยู่ที่ 94% หรือต่ำกว่านั้น มีแนวโน้มที่เชื้อโควิด-19 จะลงปอดได้ ซึ่งอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง , การประเมินอาการผ่านระบบเทเลเมด หรือ ระบบออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยตอบโต้กันได้ , การให้ยากับผู้ป่วยในแต่ละวัน (ประเมินตามอาการขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์) , อาหารสามมื้อ และการติดตามประเมินอาการ รวมทั้งการให้คำปรึกษา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ คือ ผู้ป่วยต้องหมั่นสังเกตอาการของตนเอง วัดอุณหภูมิและวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว 2–3 ครั้งต่อวัน หากมีอาการแย่ลง คือ มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ เช่น ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจ หอบเหนื่อย วัดค่าออกซิเจนปลายนิ้วได้น้อยกว่า 94% หรือไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ ให้รีบโทรติดต่อโรงพยาบาลที่รับการรักษาอยู่ และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางมาโรงพยาบาล แนะนำให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวหรือรถที่โรงพยาบาลมารับ ไม่ควรใช้รถโดยสารสาธารณะ และต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา หากใช้รถยนต์ส่วนตัวขอให้ยึดแนวทางป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด จัดให้ผู้ป่วยนั่งในแถวหลัง เปิดกระจกในรถเพื่อควบคุมทิศทางลมให้ไหลออกไปนอกรถ เป็นการลดความเสี่ยงในการหมุนวนของอากาศ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เดินทางไปด้วย

%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b9%84%e0%b8%9e%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%99%e0%b9%8c

นายแพทย์ไพโรจน์ เครือกาญจนา รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการปฏิบัติ กรณีที่ไม่มีห้องแยกให้กักตัวในบ้าน แต่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัว ควรปฏิบัติดังนี้ 1.ขอให้ทุกคนที่อยู่ในห้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และยึดแนวทางการป้องกันตนเองตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 2.แบ่งเขตพื้นที่ส่วนผู้ที่เป็นและส่วนผู้ที่ไม่เป็นแยกออกจากกันอย่างชัดเจน 3.จัดหาพัดลมวางไว้ในห้องและเปิดตลอดเวลา เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางลมให้ไปออกที่หน้าต่างฝั่งที่ใกล้กับส่วนผู้ที่เป็น ซึ่งจะทำให้พื้นที่ของส่วนผู้ที่ไม่เป็นปลอดภัยเนื่องจากอยู่เหนือลม โดยมีพื้นที่กำหนดพิเศษที่จะให้ผู้ที่เป็นสามารถผ่านเข้ามาได้เฉพาะกรณีวางของหรือออกจากห้องเท่านั้น 4.กำหนดพื้นที่พิเศษสำหรับการจัดการกับสิ่งของหรือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้แล้ว โดยขอให้ผู้ป่วยนำของใส่ในถุง พ่นด้วยแอลกอฮอล์ข้างในก่อนปิดปากถุง เมื่อวางแล้วให้พ่นแอลกอฮอล์ซ้ำที่ตรงปากถุงด้านนอก ส่วนผู้ที่จะนำไปจัดการต่อจะต้องใส่ถุงมือ โดยพ่นแอลกอฮอล์ที่ด้านนอกถุงอีกครั้ง เมื่อนำถุงออกมาจากพื้นที่แล้ว ให้เปิดปากถุงแล้วแช่ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอกประมาณ 10-15 นาที ก่อนที่จะนำไปทำความสะอาดตามปกติ 5.เมื่อมีการสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน ขอให้มีการปฏิบัติตัวป้องกันตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยยึดหลัก “ไม่แพร่เชื้อ-ไม่ติดเชื้อ” ทั้งนี้ หากผู้พักอาศัยหรือผู้ดูแลมีอาการผิดปกติควรรีบตรวจหาเชื้อทันที

************************************************

#กรมการแพทย์ #โรงพยาบาลราชวิถี #HomeIsolation #กักตัวในบ้านโดยไม่มีห้องแยก

– ขอขอบคุณ –
7 เมษายน 2565

untitled-1

Credit : โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโควิด-19 ในการทำ Home Isolation กรณีที่ไม่มีห้องแยกให้กักตัวในบ้าน แต่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัวอย่างไรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ  โควิด-19  อ่านต่อที่ https://bit.ly/3jbecW7

Please follow and like us:

  • -

สัญญาณ Burnout Syndrome อาการของคน เบื่องาน หมดไฟ และวิธีจัดการ

สัญญาณ Burnout Syndrome อาการของคน เบื่องาน หมดไฟ และวิธีจัดการ

ภาวะหมดไฟ หรือ Burnout Syndrome เป็นภาวะของการอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นผลจากความเครียดจากงานที่มากเกินไป อย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ผู้มีภาวะหมดไฟมีความรู้สึกว่างานนั้นเกินกำลังที่จะทำได้ มีอารมณ์ร่วมกับงานลดลงมาก และไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการ ในการทำงานหรือทำงานได้ไม่ดี

นานเข้า ทำให้เสียแรงจูงใจในการทำงาน กระทั่งรู้สึกว่า ทำอะไรก็ไม่ได้ดี เป็นรู้สึกลบและเสียใจ ลงท้ายด้วยรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรให้ใครได้

โดยองค์การอนามัยโลก ได้ให้อาการหลัก 3 อาการ คือ รู้สึกสูญเสียพลังงาน หรือมีภาวะอ่อนเพลีย , มีความรู้สึกต่อต้านและมองงานของตนเองในทางลบ ขาดความรู้สึกในความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ และ รู้สึกเหินห่างจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน หรือลูกค้า รวมถึงขาดความผูกพันกับสถานที่ทำงาน

คนทำงานอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหมดไฟ หากรู้สึกว่างานของตนมีลักษณะดังต่อไปนี้

1. ภาระงานหนัก และปริมาณงานมาก รวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ
2. ขาดอำนาจในการตัดสินใจ และมีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงาน
3. ไม่ได้รับการตอบแทน หรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ได้ทุ่มเทไป
4. รู้สึกไร้ตัวตนในที่ทำงาน หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม
5. ไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และการเปิดใจยอมรับกัน
6. ระบบบริหารในที่ทำงานที่ขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเอง

ระยะต่างๆในการทำงานซึ่งนำมาสู่ภาวะหมดไฟ (Miller & Smith, 1993) แบ่งได้ดังนี้

1. ระยะฮันนีมูน (the honeymoon) เป็นช่วงเริ่มงาน คนทำงานมีความตั้งใจ เสียสละเพื่องานเต็มที่ พยายามปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน และองค์กร

2. ระยะรู้สึกตัว (the awakening) เมื่อเวลาผ่านไป คนทำงานเริ่มรู้สึกว่าความคาดหวังของตนอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง เริ่มรู้สึกว่างานไม่ตอบสนองกับความต้องการของตนทั้งในแง่การตอบแทน และการเป็นที่ยอมรับ คนทำงานอาจรู้สึกว่าชีวิตดำเนินอย่างผิดพลาด และไม่สามารถจัดการได้ ทำให้เกิดความขับข้องใจ และเหนื่อยล้า

3. ระยะไฟตก (Brownout) คนที่งานรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรัง และหงุดหงิดง่ายขึ้นอย่างชัดเจน อาจมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหนีความขับข้องใจ เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดื่มสุรา ส่งผลให้ความสามารถในการทำงานเริ่มลดลง อาจเริ่มมีการแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน มีการวิพากษ์วิจารณ์องค์กรของตนเอง

4. ระยะหมดไฟเต็มที่ (Full scale of burnout) หากช่วงไฟตกไม่ได้รับการแก้ไข คนทำงานจะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง มีความรู้สึกว่าตนเองล้มเหลว สูญเสียความมั่นใจในตนเองไป มีอาการของภาวะหมดไฟเต็มที่

5. ระยะฟื้นตัว (The phoenix phenomenon) หากคนทำงานได้มีโอกาสผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะสามารถกลับมาปรับตนเองและความคาดหวังต่องานให้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับแรงบันดาลใจ และเป้าหมายในการทำงานด้วย

อย่างไรก็ตาม หากภาวะหมดไฟไม่ได้รับการจัดการ อาจส่งผลด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. ผลด้านร่างกาย: อาจพบอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ

2. ผลด้านจิตใจ: บางรายอาจสูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง รู้สึกหมดหนทางที่จะช่วยให้ดีขึ้น ส่งผลให้มีอาการของภาวะซึมเศร้าและอาการนอนไม่หลับได้ หากอาการรุนแรงจะนำไปสู่โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง/ฝันร้าย อาจพบมีการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์

3. ผลต่อการทำงาน: อาจขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง อาจคิดเรื่องลาออกในที่สุด

วิธีการรักษาและป้องกัน Burnout Syndrome ได้แก่

1. การขอความช่วยเหลือ การพูดคุยระบายความเครียด การปรึกษาหารือคนที่อาจช่วยได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง หรือครอบครัว

2. การพบปะสังสรรค์ มีกิจกรรมนอกงานกับเพื่อนร่วมงานบ้าง ทั้งช่วงพัก พักทานอาหารกลางวันและช่วงนอกเวลางาน ในขณะเดียวกันให้ลดการพบปะสังสรรค์พูดคุย กับคนที่ทำให้รู้สึกแย่หรือเป็นลบ

3. การเข้าร่วมกลุ่มที่อาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ชีวิตมีความหมายมากขึ้น เช่น กลุ่มศาสนา กลุ่มทางสังคม จิตอาสาต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ได้เพื่อนใหม่ด้วย ทั้งนี้ การเป็นผู้ให้หรือช่วยเหลือผู้อื่น จะมีส่วนช่วยให้เกิดความปลื้มใจและช่วยลดความเครียด แถมยังช่วยให้มีเพื่อนเพิ่มขึ้นด้วย

4. การปรับเปลี่ยนมุมมองต่องานที่ทำ มองหาคุณค่าในงานที่ทำ พยายามทำให้งานและชีวิตอื่น ๆ มีความสมดุล

5. การผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงาน จะช่วยลดความเครียดในการทำงาน และได้ความช่วยเหลือ มีโอกาสทำงานได้ผลดีขึ้น และผ่านเวลาที่ยากลำบากในการทำงานได้ง่ายขึ้น

6. หยุดพักบ้าง พักร้อนบ้าง พาตัวออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น

 

ที่มา : matichon.co.th

Please follow and like us:

ข่าวสารและกิจกรรมล่าสุด

Accessibility